หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

นางเงือก

...นางเงือก

เงือก หรือ นางเงือก เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ในหลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย
เงือก" ในภาษาอังกฤษเธอชื่อ Mermaid แปลว่าหญิงสาวแห่งท้องทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงในตำนาน ร่างกายครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นปลา ส่วนพวกพ้องเธอที่เป็นชาย เรียก เมอร์แมน - Merman ตำนานว่าเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์สะเทินน้ำสะเทินบก อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์นวอลล์ เป็นที่มาของชื่อ เมอร์เมด-เมอร์แมน อันเป็นคำผสมแองโกล-ฝรั่งเศส
          จากคอร์นวอลล์เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆ สกอตแลนด์ตอนเหนือ สู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนั้น ยังอาจพบเห็นเงือกในจุดต่างๆ ตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ โดยที่ไอริชแห่งไอร์แลนด์เรียกเงือกว่า เมอร์โรว์ และ เมอรูชา 


บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093)แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว
ความเชื่อในเรื่องดังกล่าว บางคนเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า พะยูน คือเงือกก็เป็นได้




หลักฐานการพบเงือกในที่ต่างๆ
หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าอาฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมีส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล

เรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่งเบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนามาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่

หลักฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบซากสัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ชื่อปลาชนิดนี้ว่า HUMANFISH 







เอกสารอ้างอิง
th.wikipedia.org/wiki/เงือก
http://www.vcharkarn.com/varticle/256

http://fws.cc/tiensstar/index.php?topic=185.0
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=646918
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/เงือก
horoscope.thaiza.com/ตำนานนางเงือก_1212_107189_1212_.html

ภาพประกอบจากการค้นหาในเว็บ Google

ทะเลสาปสปอท เลค (Spotted Lake)

ทะเลสาปสปอท เลค
(Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา 



         ทะเลสาปที่เต็มไปด้วยด่างดวงแห่งนี้ อยู่ใกล้ถนนไฮเวย์ในเมืองโอซอยออส รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา แม้ จะมีชื่อว่า สปอท เลคตามลักษณะทางกายภาพที่เห็น แต่ทะเลสาปขนาด 38 เอเคอร์ (96 ไร่) แห่งนี้ ยังคงถูกคนบางกลุ่มเรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “Klikuk” 

     “สปอท เลคได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาปที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมีแร่ธาตุอื่นๆ อีก 8 ชนิด ทั้งยังมีธาตุโลหะล้ำค่าอย่าง เงิน และ ไททาเนียม เจือปนอยู่ในปริมาณเล็กน้อย 




          กล่าวกันว่า โคลนและน้ำในทะเลสาปแห่งนี้มีคุณสมบัติในด้านการรักษาโรค อีกทั้งแร่ธาตุต่างๆ จากทะเลสาปแห่งนี้ก็เคยถูกนำมาใช้ผลิตเป็นลูกกระสุนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาปแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน (ทางการพยายามติดต่อขอซื้อมาเป็นเวลากว่า 20 ปี เพื่อขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ แต่ยังไม่สำเร็จ) นักท่องเที่ยวและผู้ที่จะมาชม สปอท เลคจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น 



เอกสารอ้างอิง
·        http://travel.mthai.com/world-travel/13711.html




วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Blue Whale

                        Blue Whale


การล่าวาฬสีน้ำเงินถูกสั่งห้ามอย่างเป็นทางการในปี 1966 แต่สัตว์ชนิดนี้ยังคงเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธ์มากว่า 30 ปี วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่รักสันโดษที่สุดชนิดหนึ่งของโลก การตามหาวาฬสีน้ำเงินอาจเหมือนเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ในช่วงฤดูร้อนวาฬเกือบหนึ่งในสามของประชากรที่เหลืออยู่ในโลกจะออกหากินนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนียมันจะไม่ยอมอยู่ใกล้ชายฝั่ง


หากว่าคุณอยากตามหาพวกมัน คุณต้องนำเรือยางสูบลมเดินทางไปไกลกว่า 45 กิโลเมตรออกไปในทะเล



                                 รูปร่าง
วาฬสีน้ำเงินจัดเป็นสัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั่วไปจะยาวประมาณ 27-30 เมตร แต่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบคือ 33 เมตร (ประมาณตึก 8 ชั้น) น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 100-200 ตัน และหัวใจของมันหนักเกือบเท่ารถโฟล์คเต่าเลยทีเดียว
                                                             


                               อายุ

 อายุโดยเฉลี่ยของมันประมาณ 80-90 ปี  แต่เท่าที่เคยพบที่อายุมากที่สุดมีอายุยืนยาวถึง 110 ปี  



                                         เสียงร้อง

เสียงของมันดังที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายเสียงเพรียกใต้น้ำของมันรุนแรงเสียจนสามารถพบได้ไกลออกไปหลาย 1000กิโลเมตร พวกมันจะส่งเสียงเรียก 2 ชนิดเสียงที่เหมือนตีกลองรัวเป็นจังหวะ เรียกว่าเสียงA และอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงครางต่ำที่มีความถี่ต่ำลงมาหน่อยเสียงแบบนี้เรียกว่าเสียง B ซึ่งเป็นเสียงที่ใช้ความถี่ต่ำมากจนหูของเราแทบไม่ได้ยินเสียง



                                 อาหาร

วาฬจะกินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร โดยในแต่ละวันวาฬสีน้ำเงินที่โตเต็มที่จะกินแพลงตอนถึงวันละ 4 ตัน แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะกินสัตว์น้ำขนาดเล็กเข้าไปด้วย


                                 วาฬคือ?

วาฬเป็นสัตว์เลือดอุ่น ออกลูกเป็นตัว และเลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งต่างจากปลาทั่วไปที่เป็นสัตว์เลือดเย็น ออกลูกเป็นไข่ เพราะฉะนั้น วาฬจึงไม่ใช่ปลา


                      
                        วาฬสีน้ำเงินยังอยู่หรือไม่?

 นักสำรวจคาดว่าในปัจจุบันน่าจะยังมีวาฬสีน้ำเงินเหลืออยู่ประมาณ 2,300 ตัวซึ่งจะสามารถพบได้ในซีกโลกใต้








อ้างอิง 










วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Baikal Lake

                       Baikal Lake
                                                                             
    
 ทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่บริเวณตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ทะเลสาบไบคาลมีความยาวประมาณ 650 กิโลเมตร กว้างประมาณ 50 กิโลเมตร และมีพื้นที่ทั้งหมด 23,000 ตารางกิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดลึกกว่า 1,640 เมตร เป็นทะเลสาบที่มีปริมาณน้ำจืดมากที่สุดในโลกคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของน้ำจืดที่มีอยู่บนโลก
                                                           
  การเกิด
ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากการที่น้ำเอ่อล้นเข้ามาในรอยของเปลือกโลกที่แตกออกเมื่อประมาณ 25 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เป็นทะเลสาบที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลก ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี ค.ศ.1902 เมื่อทางการรัสเซียได้ทำการสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรียรอบทะเลสาบ
                                                           
  มรดกโลก
ทะเลสาบไบคาลได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 20 เมื่อปี .. 2539 ที่เมืองเมรีดาประเทศเม็กซิโก
                                                       
     
  สิ่งมีชีวิต
ทะเลสาบไบคาลมีการพบสิ่งมีชีวิตที่พบได้เฉพาะที่นี่กว่า 200 สายพันธุ์ จนได้รับการขนานนามว่า กาลาปากอสแห่งรัสเซีย ส่วนสัตว์ที่เป็นที่รู้จักดี ก็คือ แมวน้ำไบคาล หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่า ตัวเนอร์ป้า ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณทะเลสาบนี้นั่นเอง โดยเชื่อกันว่ามันมาจากมหาสมุทรอาร์คติคเมื่อราว 8 แสนปีก่อน และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ในที่สุด แม้ปัจจุบันมันจะถูกมนุษย์รุกราน จนมีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย โดยเหลือจำนวนประมาณ 6 หมื่นตัวในปีนี้ทั้งๆที่ปีที่แล้วมีอยู่ราว 1 แสนตัวเลยทีเดียว


                                                          



                    

   ความงดงาม

ในช่วงฤดูหนาวนั้น ความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเพราะน้ำแข็งในบริเวณนี้จะทำให้ทะเลสาบนี้สวยเหนือคำบรรยาย จนคนที่มาต้องทึ่งกับภาพที่เห็น โดยในช่วงเดือนธันวาคมขอบรอบนอกจะเริ่มเป็นน้ำแข็ง และจะปกคลุมบนพื้นผิวทั่วทั้งหมด









อ้างอิง



ซานโตรินี

                     ซานโตรินี

                           

          ซานโตรินี( Santorini) หรือ ธีรา(Thera) เป็นเมืองบนเกาะตอนใต้ของทะเลอีเจียนประเทศกรีซซึ่งมีความสวยงามและจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นเกาะอันดับ 2 ของโลกที่พวกเขาอยากมา ซึ่งมีสถานทีสำคัญ เช่น ยอดเขาโพรฟิทิสอิเลียสซึ่งเป็นจุดชมความงดงามของเกาะซานโตรินี  เกาะแห่งนี้มีความกว้างประมาณ 16 กิโลเมตร อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 567 เมตร
                                             

                       ประวัติความเป็นมา


        ประวัติศาสตร์ของเกาะนี้ชาวฟินีเชียนอพยพเข้ามาที่เกาะนี้ราว 3,600ปีก่อนคริสตกาลหลังจากนั้นชาวลาโคเนียนก็เข้ามาปกครองเกาะนี้กระทั่งถึง 3,000ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ไมนอสผู้ปกครองแห่งเกาะครีตได้แผ่ขยายอิทธิพลด้านศิลปะและวัฒนธรรมจากอารยธรรมมิโนอันมายังเกาะแห่งนี้แต่เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นในเกาะในช่วงฤดูร้อนช่วง 1,650 ปีก่อนคริสตกาล
                                           

ส่งผลให้เกาะแตกออกเป็น3เกาะกระแสลมยังพัดพาเถ้าภูเขาไฟไปไกลจนถึงเกาะต่างในละแวกใกล้เคียง และเกาะครีตที่อยู่ห่างไป 70 กิโลเมตรไม่เพียงได้รับแรงระเบิดจากภูเขาไฟแต่ยังเกิดสึนามิที่มีความสูง 100-150 เมตร ถาโถมเข้าด้านเหนือของเกาะครีต ทำลายต้นไม้บ้านเรือน ทำให้เกาะทั้งเกาะจมทะเลในชั่วข้ามคืน
                                           

ส่งผลให้อารยธรรมมิโนอันเป็นอันล่มสลายและเชื่อกันว่าความหายนะของเกาะครีตเป็นแรงบันดาลใจให้ เพลโต เขียนตำนานเรื่องแอตแลนติส และนำไปสู่การบันทึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของศาสนายูดาย คริสต์และอิสลาม
                                              

ทั้งนี้นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เริ่มตามรอยอารยธรรมอันสาบสูญ โดยในปี..1860ได้ขุดค้นบริเวณที่ถูกเถ้าถ่านและลาวาทับถม พบอาคารบ้านเรือน วิหารเทพเจ้า หลุมฝังศพในหุบเขา โรงละคร และข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากซึ่งแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าของยุคสำริด
                                           

และในปัจจุบันซานโตรินีถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกใฝ่ฝันว่าจะต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตหนึ่ง






อ้างอิง


หนังสือ สำรวจโลก